Sunday, December 25, 2011

"โยเกิร์ต์" ตัวช่วยระบบขับถ่าย- ความอร่อยที่มาพร้อมกับประโยชน์

"โยเกิร์ต์" ตัวช่วยระบบขับถ่าย
ความอร่อยที่มาพร้อมกับประโยชน์ 






            โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย ไม่ใช่ช่วยเพียงแค่ระบบขับถ่ายภายในร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่างๆมากมายดังนี้
- เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5
- โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
- จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
- แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

- ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก

- เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

            รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง


7 ประโยชน์ของโยเกิร์ตต่อร่างกาย
พฤศจิกายน 13th, 2009

1. โยเกิร์ตย่อยง่ายกว่านม
สาวๆ  หลายคนร้องอี้เมื่อได้ยินคำว่านม  ก็เพราะว่าดื่มนมทีไรมีอันต้องวิ่งเข้าห้องน้ำกันแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว  นั่นเพราะว่าคุณนั้นไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสที่อยู่ในน้ำนมได้  แต่ถ้าคุณหันมาทานโยเกิร์ตรับรองได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องท้องเสียอย่างแน่นอนจ้า  เพราะขั้นตอนการทำโยเกิร์ตนั้นน้ำตาลแลตโตสจะถุกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกาแลคโตสและกลูโคส  โยเกิร์ตจึงทานง่ายแถมยังย่อยง่ายไร้ปัญหา

2. โยเกิร์ตดีต่อลำไส้

โยเกิร์ตประกอบไปด้วยแบททีเรียแลตโตบาซิลัสมากมาย  ที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ของเราโดยตรงเลยล่ะ  เพราะว่าเจ้าแบทีเรียตัวนี้จะไปช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้  แถมยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆ  ที่เกี่ยวกับลำไส้อีกด้วย

3. โยเกิร์ตช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย

มีการวิจัยมาแล้วนะว่าการทานโยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วยนานติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนรับรองว่าแบททีเรียตัวดีในโยเกิร์ตนั้นจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของคุณให้แข็งแรงขึ้นอีกหลายเท่า  แล้วก็ไม่ป่วยง่ายอีกด้วย

4. โยเกิร์ตช่วยลดเชื้อราฆ่าเชื้อโรค

เชื่อไหมว่าการทานโยเกิร์ตทุกวันจะสามารถช่วยลดเชื่อราที่ช่องคลอดได้  แถมลดการติดเชื้อที่ช่องคลอดได้อีกต่างหาก  สาวคนไหนกลุ้มเฮดกับเรื่องเชื้อราของน้องหนูเราอยู่นั้น  ลองหันมาทานดูสิ  รับรองว่าหายเป็นปลิดทิ้งเลย  นอกจาดนี้แล้วยังช่วยให้ช่วงมีประจำเดือนทุกครั้งควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำด้วยเราะสะพคุณของเจ้าโยเกิร์ตนี้จะช่วยลดเชื้อรานั้นเอง  แล้วก็ช่วยกำจัดเชื้อโรคในช่องคลอดเราด้วย

5. โยเกิร์ตอุดมไปด้วยแคลเซียม

โยเกิร์ตถ้วยโปรดของคุณนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมแบบเต็มเปี่ยมถ้วยเลยแหละ  เผลอๆ  มากกว่าวะด้วยซ้ำ  ทานบ่อยๆ  ก็จะเป็นการเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างายเรา  แถมยังช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดีอีกด้วย  ฟันธงเลยแหละว่าทานบ่อยๆ  ห่างไกลโรคกระดูกพรุนแน่นอนเจ้าค่า

6. โยเกิร์ตช่วยลดกลิ่นปาก  ฟันผุ  โรคเหงือก

มีการวิจัยจากแดนปลาดิบโน้นว่า  การเลือกทานโยเกิร์ยสูตรไร้น้ำตาลนั้นจะช่วยลดอาการกลิ่นตุๆ  ที่ปากได้  นอกจากนี้แมงก็ไม่มีทางกินฟันให้ผุแน่นอน  แถมยังไม่มีโรคเหงือกให้เจ็บปวดเล่นอีกด้วยล่ะ  ขอบอกนิดๆ  น่ะว่าที่เราไม่มีกลิ่นมากนั้นก็เนื่องมาจาก แบททีเรียสองสหายทั้งแลคโตบาซิลลัสและสเตร็ปโตค็อสคัส  ต่างช่วยกันขยันขันแข็งทำลายปริมาณไฮโดรเจนซัสไฟด์ที่เป็นต้นเหตุของอาการกลิ่นปากนั้นเอง

7. โยเกิร์ตช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ

แบททีเรียตัวเก่งอย่างแลลโตบาซิลัสที่ทมีอยู่เยอะแยะในโยเกิร์ตนั้น  ขอบอกว่าเจ้าตัวนี้เก่งมากๆ เพราะว่าสามารถช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและกลีเซอร์ไรด์ในกระแสเลือดเราไม่ให้สูงเกินไปได้  ทำให้เราไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง

รู้ถึงเรื่องความมหัสจรรย์ของโยเกิร์ตกันแล้ว  จะมัวรออะไรอยู่ล่ะ  รีบไปหยิบโยเกิร์ตในตู้เย็นมากินเร็ว  จะได้สุขภาพดีกันถ้วยหน้า

 ขอขอบคุณ   ที่มา : นิตยสาร Spicy

No comments:

Post a Comment